เชื่อว่าในวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก แบรนด์ Nike ชื่อของแบรนด์ผู้ผลิตชุดกีฬา ที่ในตอนนี้นั้นถือได้ว่าใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกแซงหน้า Adidas ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยแนวคิด และการทำการตลาดของ Nike ที่เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่าแบรนด์ผู้ผลิตชุดกีฬาอื่นๆ นั้นเอง ทำให้ Nike ประสบความสำเร็จได้ในด้านของรายได้ และชื่อเสียงอย่างมหาศาล
และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักแบรนด์ Nike แบรนด์ผู้ผลิตชุดกีฬาอันดับ 1 ของโลก ว่าจุดเริ่มต้นธุรกิจของเขานั้นเริ่มมาจากอะไร และเหตุใดเขาถึงได้ก้าวมาสู่ในจุดที่ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของโลก
ปัจจุบัน Nike ก็ก้าวเข้าสู่ปีที่ 57 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว Nike ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมของผู้ผลิตเสื้อผ้า เครื่องประดับ และอุปกรณ์กีฬา ซึ่งในจุดนี้นั้น ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่า Nike จะเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา แต่หากเราลองอ่านดีดีด Nike ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของเครื่องประดับอีกด้วย
Nike ก่อตั้งขึ้นจาก บิลล์ บาวเวอร์แมน และฟิล ไนต์ ทั้งคู่วนเวียนอยู่ในวงการกีฬามาตั้งแต่ปี 1948 โดยบิลล์ บาวเวอร์แมน เป็นโค้ชของมหาวิทยาโอเรกอน ส่วนฟิล ไนต์ ก็เป็นนักวิ่งให้กับมหาวิทยาเช่นเดียวกัน ด้วยความที่ทั้งคู่อยู่ในวงการกีฬาผ่านการเป็นนักกีฬา และโค้ช ทั้งคู่จึงต้องการที่จะได้รองเท้ากีฬาที่มีคุณภาพดี ทนทาน น้ำหนักเบา สามารถใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึงในปี 1962 และเมื่อได้เสาะหารองเท้าคุณภาพที่คิดไว้ ก็จะได้ไปพับกับร้องเท้ากีฬานำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีคุณภาพ และคุณสมบัติครบครันตามที่เขาทั้งสองหวังไว้ อีกทั้งยังพบว่ารองเท้าจากญี่ปุ่นนั้นมีราคาที่ถูกกว่ารองเท้าที่มาจากประเทศเยอรมนี
เกร็ดความรู้: ในยุคสมัยนั้นรองเท้าจากประเทศเยอรมนีที่มีคุณภาพดีก็คือ adidas นั้นเอง
และเมื่อพวกเขามีโอกาสได้เดินทางไปที่ญี่ปุ่น พวกเขาได้เดินทางไปพบกับโรงงานผลิตรองเท้ายี่ห้อนั้น นั้นก็คือแบรนด์ Onitsuka Tiger Company นั้นเอง ทำให้เกิดการเจรจาขึ้นระหว่างกันจน Onitsuka Tiger ได้ขยายตลาดเข้าสู่สหรัฐอเมริกาภายใต้สินค้าที่มีชื่อว่า “Blue Ribbon Sports” ก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งทางธุรกิจในปี 1971 จน บิล บาวเวอร์แมน และฟิล ไนต์ ตัดสินใจแยกออกจาก Onitsuka Tiger และสร้างแบรนด์ที่ชื่อว่า Nike ภายใต้บริษัท Nike Inc.
การร่วมมือกันระหว่าง Michael Jordan และ Nike
ถือได้ว่าเป็นการตลาดที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักกับ Nike ได้เป็นอย่างดี กับการร่วมมือกันระหว่าง ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลชื่อดังระดับโลก กับ Nike เป็นการร่วมมือกันพัฒนาสินค้าที่เป็นรองเท้าบาสเกตบอลผสมผสานกับแฟชั่นได้อย่างลงตัวโดยใช้ชื่อแบรนด์แยกออกมาว่า “Jordan” โดยรุ่นที่ทำให้ใครหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีคงหนีไม่พ้น Air Jordan 1 Mid หรือ Jordan React Elevation PF
คู่แข่งทางการตลาดคนสำคัญของ Nike
แน่นอนว่า เราคงรู้จักกับแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาต่างๆ มากมาย ที่นอกเหนือจาก Nike ทั้งแบรนด์ Puma, Under Armour, Reebok และคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Adidas ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้น ล้วนแต่เป็นคู่แข่งของ Nike ทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Nike ยังคงสามารถครองแชมป์ของการสร้างรายได้สูงสุดในด้านอุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬาได้เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีรายได้มากกว่า Adidas และ Puma รวมกันอีกด้วย
มุมมองทางการตลาดของ Nike ที่เหนือชั้นกว่า Adidas
ซึ่งถ้าหากเรามองไปที่จุดแข็งของ Adidas ที่น่าจะสามารถเอาชนะ Nike ได้ด้วยเทคโนโลยี หรือ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในการผลิตรองเท้า เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์กีฬาอื่นๆ ที่ดีกว่า Nike มากนั้น สามารถบอกได้ว่า อุปกรณ์กีฬาทั้งหมดที่มาจากฝั่งของ Adidas นั้นล้วนแต่มีคุณภาพที่ดีกว่า Nike เป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่า เมื่ออุปกรณ์กีฬา ถูกผลิตให้เป็นอุปกรณ์กีฬา ผู้ใช้งานจึงเป็นเพียงแค่นักกีฬา
และสิ่งนี้เอง เป็นสิ่งที่ทาง Nike สามารถมองเห็น และเพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ของเขาออกไปสู่ทุกกลุ่มได้ด้วยการเพิ่มแฟชั่นเข้าไปในผลิตภัณฑ์ของ Nike ด้วยความที่อุปกรณ์กีฬานั้นถูกสร้างมาให้มีความคงทน รองรับการกระแทกของการวิ่งได้ดี และมีน้ำหนักที่เบา หรือเสื้อผ้าที่ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย และไม่ร้อนนั้น คุณสมบัติพิเศษของการเป็นอุปกรณ์กีฬาเหล่านี้ ทาง Nike ได้จับมันผสมผสานเข้ากับความเป็น Design และ Fashion เพื่อให้อุปกรณ์กีฬา กลายเป็นสิ่งที่ใครก็ได้สามารถเข้าถึงได้นั้นเอง
จุดอ่อนของ Nike ที่ยังคงเป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม มุมมองทางการตลาดของ Nike นั้น ถือได้ว่าเป็นมุมมองที่สามารถนำมากลบจุดอ่อนได้จนเรามองข้ามข้อสำคัญที่อุปกรณ์กีฬาควรจะเป็นไปได้อย่างดีนั้นก็คือ ข้อจำกัดของการผสมผสานวัตถุดิบ และเทคโนโลยีสำหรับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นั้นเอง เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ทาง Nike มีนั้น ด้อยกว่าทาง Adidas ทำให้ Nike เลือกที่จะปรับมุมมอง และพัฒนาส่วนที่มีอยู่ให้กลบจุดอ่อนไปได้อย่างมิดชิด
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ทาง Nike ก็ไม่สามารถปฏิเสธจุดอ่อนนี้ไปได้นั้นเอง นอกเหนือจากนี้แล้วยังเคยมีข่าวลือถึงความขัดแย้งด้านแรงงานมาจากทาง Nike อีกด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้ถ้าหากเราลองนำสิ่งที่ Nike ดำเนินการทางการตลาดกับผลิตภัณฑ์ที่มีข้อจำกัดใหญ่ในเรื่องเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับสร้างสินค้าที่มีคุณภาพสูงนี้นั้นมาคิดวิเคราะห์ คุณอาจจะเห็นช่องทางต่างๆ มากมายในการทำธุรกิจ และคุณอาจจะต้องเลิกพูดคำว่า “Impossible is Nothing” และหันมาพูดคำว่า “Just do it”
อ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บ บาคาร่า